เมื่ออายุเพิ่มขึ้นผู้สูงอายุอาจจะเกิดการบาดเจ็บหรือมีความผิดปกติที่ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากความผิดปกติทางระบบประสาท ส่งผลให้มีการเดินที่ผิดปกติไป เช่น เดินลากเท้า เดินเร็ว เดินช้า หรือไม่มีแรงที่จะยกเท้าก้าวไปทางด้านหน้า ทำให้ช่วยเหลือตนเองได้ลดลงและเสี่ยงต่อการหกล้ม ดังนั้นญาติหรือผู้สูงอายุจึงควรหมั่นสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ เพื่อหาสาเหตุในการรักษาและป้องกันได้ทันท่วงที
คลินิกกายภาพบำบัดของรพ.คูน ที่ให้บริการดูแลรักษาฟื้นฟูผู้สูงอายุ ผู้ป่วย Palliative Care ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต อ่อนแรงครึ่งซีกจากโรคหลอดเลือดทางสมอง ผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยออฟฟิศซินโดรม เด็กและนักกีฬาแบบครบวงจร จึงขอแบ่งปันความรู้ สร้างความเข้าใจในสาเหตุและอาการของการเดินที่ผิดปกติที่มักเกิดขึ้น ตลอดจนวิธีป้องกันและแนวทางเคลื่อนไหวร่างกายของผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาสมรรถภาพในการเดินให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น
1. รู้อาการหมั่นสังเกตความผิดปกติ คนที่ดูแลผู้สูงอายุใกล้ตัวควรใส่ใจและหมั่นสังเกตอาการเดินที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นของผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการดูแลรักษาตั้งแต่การเริ่มมีอาการ ซึ่งแต่ละบุคคลอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น
2. รู้สาเหตุเข้าใจอาการที่เกิดขึ้น ครอบครัวผู้ดูแลใกล้ชิดสามารถขอรับคำปรึกษาและคำแนะนำจากแพทย์และนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทราบถึงสาเหตุของอาการเดินที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่มักจะพบเจอ ประกอบด้วย
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
มีปัญหาด้านการทรงตัว
มีปัญหาด้านการมองเห็น ที่อาจทำให้เกิดการเดินช้ากว่าปกติ
ความผิดปกติของระบบประสาท
เคยได้รับการบาดเจ็บบริเวณขา เช่น กระดูกหัก ใส่เฝือก รวมถึงเคยได้รับการผ่าตัดใส่เหล็ก
มีปัญหาพังผืดบริเวณฝ่าเท้า
ตัวอย่างของการเดินที่ผิดปกติ
เดินแบบพาร์กินสัน เดินแบบตัวแข็ง ก้าวเท้าสั้น ซอยเท้าถี่ ตัวจะโน้มไปทางด้านหน้า ในบางครั้งผู้สูงอายุมักจะบอกว่าก้าวเท้าไม่ออกทำให้เสี่ยงต่อการหกล้ม
การเดินขาไขว้เหมือนกรรไกร ขาทั้ง 2 ข้างจะเกร็งและหนีบเข้าหากัน ทำให้ขาพันกันเสี่ยงต่อการหกล้ม
การเดินแบบปลายเท้าตก มักจะเกิดในผู้ป่วยอัมพฤตอัมพาต กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง เวลาเดินจึงต้องพยายามยกขาสูงไม่ให้ปลายเท้าชนพื้น ซึ่งถ้ายกเท้าไม่พ้นพื้นก็อาจจะทำให้สะดุดเท้าตัวเองได้
3. รู้วิธีป้องกันที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจถึงอาการและสาเหตุของการเดินที่ผิดปกติในผู้สูงอายุแล้ว คลินิกกายภาพบำบัดของรพ.คูน ขอแนะนำให้ผู้สูงอายุเริ่มออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีการเคลื่อนไหวและเกิดความคล่องตัว โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลาง เช่น การเดินช้า เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือแม้แต่โยคะ ไทเก๊ก ไทชิ จะช่วยเสริมสร้างในเรื่องของการทรงตัว โดยใช้เวลาเพียงวันละ 30-60 นาทีในการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ อาจจะแบ่งเป็นเช้า 30 นาที เย็น 30 นาที เพื่อไม่ให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความแข็งแรงของแต่ละบุคคล